รู้หรือไม่! ทำประกันชั้น1แต่ทำไมยังมีค่าใช้จ่าย

รู้หรือไม่ ทำประกันชั้น1แต่ทำไมยังมีค่าใช้จ่าย

ทำไมเราทำประกันชั้น1 แล้วยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆตามมาให้จ่ายเพิ่มด้วยหรือ? แล้วทำไมตอนแจ้งต่อประกันเจ้าหน้าที่บอกว่าประกันชั้น1คุ้มครองให้ทุกกรณีไง? ทำไมต้องเสียเงินให้ประกันก่อนซ่อมล่ะ แล้วประกันชั้น 1มีส่วนที่ไม่คุ้มครองด้วยหรือไม่? คำถามเหล่านี้ได้คัดมาจากหลายคนที่สอบถามเข้ามา วันนี้โปรประกันจะมาไขข้อสงสัยว่าประกันชั้น 1 ไม่คุ้มครองอะไรบ้าง และ เหตุการณ์แบบไหนที่ต้องเสียเพิ่ม ไปดูกันเลยค่ะ..

 

1.ค่าเสียหายส่วนแรก (excess)

กรณีแจ้งเคลมแบบไม่สามารถระบุคู่กรณีได้ ยกตัวอย่างเช่น ถูกชนแล้วหนีไม่มีหลักฐานภาพถ่ายป้ายทะเบียน, ความเสียหาย หรือ กล้องบันทึกภาพ ที่สามารถนำไปแจ้งความได้ ประกันจะถือว่าเราไม่สามารถระบุคู่กรณีให้มารับผิดในเหตุการณ์ครั้งนี้ได้จะต้องเสียเหตุการณ์ละ 1,000 บาท

การเคลมเก็บสีเก็บรอย ขูด ขีด ครูด ถลอก เหตุการณ์ละ 1,000 บาท รอยทั้งหมดเป็นการเคลมแบบ “cosmetics” หรือ ส่วนใหญ่จะเรียกกันว่าเก็บรอยเพื่อความสวยงามให้เหมือนรถใหม่ๆที่พึ่งออกมาโดยจะมีรอย เล็บแมว กิ่งไม้ข่วนรถ หรือโดนอะไรขูดมาตอนไหนไม่ทราบสาเหตุ แบบนี้ถือว่ากรณีเก็บรอยเพื่อความสวยงามทั้งนั้น ซึ่งจะเก็บเป็นเหตุการณ์จะไม่ได้นับเป็บรอย โดยแต่ละเหตุการณ์อาจจะมีมากกว่า 1 แผล ก็ได้ อย่างไรก็ตามการแจ้งเคลมต้องติดต่อบริษัทประกันที่เราทำไว้และแจ้งความประสงค์ในการเคลมรอย จากนั้นพนักงานเคลม (Surveyor) จะเป็นผู้มาตรวจสอบความเสียหายทั้งหมดและจะพิจารณาว่ารอยทั้งหมดเกิดขึ้นกี่เหตุการณ์ ที่ต้องเก็บค่าเสียหายส่วนแรกในลักษณะนี้ทางประกันมองว่าการแจ้งเคลมควรเกิดจากอุบัติเหตุจริงๆเช่น การเชี่ยวชนที่มีคู่กรณี เพราะถ้าหากเกิดรอยอะไรนิดๆหน่อยๆ ก็แจ้งเคลมจะทำให้ เกิดการเคลมบ่อยๆ และมีส่วนในการเพิ่มเบี้ยในปีถัดไปและเพื่อเป็นการรักษาประวัติดีของรถเราเองอีกด้วย

ส่วนรอยไหนละที่ไม่ต้องเสียค่า Excess คือ รอยที่เป็นลักษณะ บุบ กระแทก แตกร้าว และสามารถระบุคู่กรณีได้ซึ่งคู่กรณีอาจจะไม่ต้องเป็นรถชนกับรถเสมอไป เช่น รั้วบ้าน กำแพง เสาไฟฟ้า กระถางต้นไม้ และ สามารถระบุวันเวลา และ สถานที่ได้ เหตุการณ์แบบนี้ถือว่าระบุคู่กรณีได้ ประกันจึงไม่เก็บค่าเสียหลายส่วนแรก ดังนั้นก่อนที่เราจะแจ้งเคลมก็ควรตรวจสอบรอยให้ดีก่อนว่าเกิดตอนไหน ที่ไหน และชนกับอะไร เพื่อที่จะไม่ต้องเสียค่าเสียหายส่วนแรกนะคะ

2. ของเหลว

เช่น น้ำยาแอร์ สารล่อลื่นต่างๆ ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ และ ความเสียหายส่งผลกระทบให้ต้องใส่น้ำยาแอร์หรือสารหล่อลื่นส่วนนี้ทางประกันภัยจะไม่ได้คุ้มครองค่าใช้จ่ายให้ เพราะถือว่าป็นสิ่งที่ใช้แล้วหมดไป และ เป็นการเสื่อมสภาพตามการใช้งานประกันจะคุ้มครองเฉพาะความเสียหายจากตัวรถยนต์เท่านั้นค่ะ

 

3. ล้อแม็กซ์ และ ยาง 

ทางประกันภัยจะรับผิดชอบราคายางตามความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงไม่เกินวงละ 50% เนื่องจากยางเป็นอุปกรณ์ที่มีการเสื่อมสภาพตามการใช้งาน เช่นเดียวกับของเหลวหากกรณีที่เรามีการเปลี่ยนแม็กซ์ และ ยางใหม่ จะต้องแจ้งให้บริษัทประกันภัยรับทราบราคาที่ไปติดมาด้วยเพราะลูกค้าบางรายมีการเปลี่ยนมา แต่ไม่ได้แจ้งให้ประกันภัยรับทราบเมื่อเกิดเหตุแล้วจึงรับผิดชอบแค่ตามราคามาตรฐานของโรงงานคือ 20,000 บาท ซึ่งบางครั้งล้อแม็กซ์ และ ยางที่เราติดมานั้นอาจจะมีราคาสูงกว่า 20,000 บาท บางคนเปลี่ยนถึงหลักแสนเลยก็มี ดังนั้นหากเราไม่แจ้งกับทางบริษัทประกันภัยอาจจะมีส่วนต่างในการเคลมครั้งนั้นก็ได้นะคะ

 

4. การระบุชื่อผู้ขับขี่

หลายคนอาจเลือกวิธีนี้เพราะจะทำให้ค่าเบี้ยประกันภัยถูกลงยิ่งระบุสองคน หรือ ระบุคนที่มีอายุมากกว่า ค่าเบี้ยประกันภัยก็จะยิ่งถูกลงแต่รู้หรือไม่ หากเราระบุชื่อผู้ขับขี่ เมื่อเกิดเหตุแล้วผู้ขับ หรือ ผู้ที่ระบุชื่อเป็นคนละคนกัน จะมีค่าเสียหายส่วนแรกที่ต้องรับผิดชอบถึง ” 8,000 บาท ” ค่าใช้จ่ายดังกล่าวคือการร่วมรับผิดชอบคู่กรณี 2,000 บาท และ หากต้องการให้ประกันภัยซ่อมรถของเราที่เสียหายจะต้องชำระค่าเสียหายส่วนแรกอีก 6,000 บาท ให้กับประกันภัยจึงจะสามารถเคลมได้ ดังนั้นบางท่านอาจจะยังไม่ทราบเงื่อนไขนี้ และ ได้ทำประกันแบบระบุชื่อผู้ขับขี่ลงไปเพราะเพียงแค่เห็นว่าจะทำให้ค่าเบี้ยถูกลง ฉะนั้นก่อนที่จะระบุชื่อเราต้องมั่นใจแล้วว่าผู้ขับขี่ที่จะระบุไปในกรมธรรม์กับผู้ใช้รถจะเป็นคนเดียวกัน

 

5. การเพิ่มทุนประกันภัย 

คือการเพิ่มราคารถยนต์ที่สูงกว่าปัจจุบันซึ่งมีสาเหตุหลักๆมาจากการที่เราตกแต่งรถยนต์เพิ่มเติม อาทิเช่น  สเกิร์ตรอบคัน, ล้อแม็กซ์, กันชน หรือ แมคไลน์เนอร์ ยิ่งถ้าเป็นรถกระบะ สมัยนี้ก็จะมีอุปกรณ์ตกแต่งค่อนข้างเยอะอาจทำให้ราคาสูงต้องมีการเพิ่มทุน และ เบี้ยประกันภัยเพราะประกันภัยจะคุ้มครองอุปกรณ์ตามมาตราฐานเดิมจากโรงงานสูงสุดไม่เกิน 20,000 บาทแต่ถ้าหากเรามีเพิ่มอุปกรณ์ตกแต่งหลายรายการก็จะต้องมีการคำนวนใหม่ เพื่อให้คุ้มครองอุปกรณ์ที่เราตกแต่งมา ดังนั้นจะเพิ่มทุน หรือ เบี้ยประกันภัยหรือไม่ คำตอบอยู่ในข้อนี้แล้วนะคะ

 

6. ข้อยกเว้นที่ประกันไม่คุ้มครอง

เช่น การเคลือบแก้ว หรือ ติดสติ๊กเกอร์ เพราะถือว่าไม่ใช่อุปกรณ์ตกแต่งอย่างเคลือบแก้วถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์บำรุงรักษารถเมื่อเกิดเหตุ และ ทำให้เคลือบแก้วได้รับความเสียหายทางประกันภัยจะไม่คุ้มครองความเสียหายนี้ซึ่งปรกติแล้วทางร้านที่ทำเคลือบแก้วมาให้จะมีบริการเฉพาะเคลือบแก้วอยู่แล้ว เช่นเดียวสติ๊กเกอร์จัดว่าเป็นอุปกรณ์ตกแต่งเพื่อความสวยงามมีการเสื่อมอายุตามกาลเวลา และ สามารถลอกออก แปะใหม่ได้ตลอด ดังนั้นสองประเด็นตัวอย่างนี้อยู่ในข้อยกเว้นของการรับประกันทุกบริษัท อย่างไรก่อนที่จะมีการนำรถไปติดตั้งอุปกรณ์ข้างต้นต้องแจ้งกับบริษัทประกันภัยรับทราบก่อนทุกครั้งนะคะ

จากบทความข้างต้นเราจะเห็นได้เลยว่าแม้จะทำประกันประเภท 1 แต่ก็ยังมีค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียเพิ่มเติมเพราะเงื่อนไขบางอย่าง หรือ อุปกรณ์ตกแต่งบางประเภทประกันภัยชั้นหนึ่งนั้นไม่คุ้มครองทำให้เวลาเกิดเหตุเรามักต้องเสียส่วนต่างเพิ่มเติม อย่างไรก็ตามก่อนเลือกซื้อประกันภัยรถยนต์ควรศึกษารายละเอียด หรือ สอบถามเจ้าหน้าที่ให้ชัดเจนก่อนทำประกันนะคะ ในครั้งจะเป็นเรื่องอะไรนั้นอย่าลืมติดตามนะคะ