การลงทุนซื้อเงินคริปโตเคอร์เรนซี กับ การลงทุนซื้อประกัน ทางเลือกไหนคุ้มค่ากว่ากัน ?
ปัจจุบันนี้ต้องยอมรับว่าในประเทศไทย การซื้อขายเงินคริปโต(Cryptocurrency) เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในกลุ่มนักลงทุนทั้งรุ่นใหม่และรุ่นเก่า เงินคริปโตเป็นสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset) รูปแบบหนึ่ง การซื้อขายเงินคริปโตเป็นการลงทุนชนิดหนึ่ง ที่ให้ผลตอบแทนแก่ผู้ลงทุนจากส่วนต่างระหว่างราคาซื้อกับราคาขายแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ถ้านักลงทุนขายได้ราคาสูงกว่าราคาซื้อ ก็จะได้กำไร แต่ถ้าขายออกไปที่ราคาต่ำกว่าราคาซื้อ ก็จะขาดทุน เนื่องจากมูลค่าของเงินคริปโตขึ้นอยู่กับราคาซื้อขายเงินคริปโตอย่างเดียว โดยไม่มีปัจจัยอื่นเป็นตัวอ้างอิงมูลค่าของมัน จึงทำให้เกิดความผันผวนในราคาของมันมากและง่าย ดังนั้นการลงทุนซื้อขายเงินคริปโตจึงมีความเสี่ยงสูง ที่จะทำให้ผู้ลงทุนอาจจะได้กำไรที่สูงหรือขาดทุนได้มากด้วยเช่นกัน จากสถิติที่จัดทำโดย We Are Social พบว่าคนไทยมีสัดส่วนต่อประชากรในการถือครองคริปโตเคอร์เรนซีคิดเป็น 20.1% ในขณะที่ค่าเฉลี่ยของโลกอยู่ที่ 10.2%
วันนี้น้องกันเองเลยอยากจะมาเปรียบเทียบเรื่อง การลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซี VS การลงทุนในการซื้อประกัน
ทำไมถึงต้องเปรียบเทียบระหว่าง การลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซี กับ การลงทุนในการซื้อประกัน มันเกี่ยวข้องกันตรงไหน?
หลายคนอาจจะเกิดคำถามขึ้นมาในใจทันที
เนื่องจากการลงทุนซื้อหลักทรัพย์ กับการลงทุนซื้อประกันนั้น มีจุดประสงค์ที่แตกต่างกัน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะเปรียบเทียบความคุ้มค่าระหว่างการลงทุนทั้งสองแบบ จุดประสงค์ของการลงทุนซื้อหลักทรัพย์คือ ต้องการเพิ่มรายได้ แต่จุดประสงค์หลักของการซื้อประกันคือ ต้องการลดรายจ่าย
ถ้าปรียบกับทีมฟุตบอลซึ่งสมาชิกในทีมทั้งหมดจะประกอบด้วยทีมหลักของทีมคือ ทีมกองหน้าที่ทำหน้าที่ทำประตู กับทีมกองหลังที่มีหน้าที่ป้องกันไม่ให้เสียประตู การลงทุนซื้อหลักทรัพย์เพื่อเพิ่มรายได้ ก็เหมือนกับการลงทุนซื้อนักเตะกองหน้าเก่งๆเข้ามาในทีม เพื่อทำหน้าที่ยิงประตู
ส่วนการลงทุนซื้อประกันโดยทั่วไป ก็เหมือนกับการลงทุนซื้อนักเตะกองหลังเก่งๆ รวมทั้งผู้รักษาประตูมือกาว เอาไว้เป็นกองหลังป้องกันการบุกของคู่ต่อสู้
คำถามคือ เราควรจะเลือกลงทุนสร้างกองหน้าให้แข็งแกร่งดี หรือลงทุนสร้างกองหลังให้แน่นปึ้กดี ดังนั้นการที่จะตัดสินใจว่าจะลงทุนทำให้กองหน้าเก่งมากๆ อย่างเดียว กับการที่จะเลือกลงทุนพัฒนากองหลังให้แข็งแกร่งอย่างเดียว ทางเลือกไหนคุ้มค่ากว่าจึงเป็นเรื่องที่ตอบยาก เพราะความคุ้มค่าไม่ได้อยู่ที่ว่าเรามีอะไรเพียงฝ่ายเดียว แต่อยู่ที่อีกฝ่ายมีอะไรบ้างและมีคุณภาพแค่ไหน ถ้าเจ้าของทีมฟุตบอลมีเงินมากพอ คงลงทุนพัฒนาทั้งสองด้านไปพร้อมกัน
คราวนี้ลองกลับมาดูเรื่อง การลงทุนซื้อหลักทรัพย์ กับการลงทุนซื้อประกันบ้าง ในกรณีที่เรามีเงินทุนจำกัด ที่บีบให้เราต้องเลือกซื้ออย่างใดอย่างหนึ่ง เราก็คงต้องดูว่าแบบไหนคุ้มค่ากว่ากัน ปัญหาก็คือ เราจะใช้ปริมาณอะไรเป็นตัวตัดสิน ที่เห็นได้ชัดเจนก็คงจะทีอยู่สองเรื่องคือ ความเสี่ยงที่จะสูญเสียเงินลงทุน กับอีกเรื่องหนึ่งคือ โอกาสที่จะทำกำไร
ในกรณีลงทุนซื้อหลักทรัพย์นั้น ถ้าเราเลือกลงทุนในตลาดที่ทีการจัดการดูแล ควบคุมที่ดี ความเสี่ยงที่เราจะสูญเสียเงินลงทุนไปทั้งหมด แทบจะเท่ากับ 0 แต่ถ้าเราไปลงทุนซื้อหลักทรัพย์ในตลาดที่ไม่มีการควบคุม หรือไปซื้อหลักทรัพย์ที่ไม่มีพื้นฐานอะไรเป็นตัวค้ำประกันมูลค่าของหลักทรัพย์นั้น โอกาสที่จะสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดไปก็จะสูงมาก เช่นตลาดเงินคริปโต
ซึ่งส่วนมากแล้ว เงินคริปโตจะไม่มีหลักทรัพย์อื่นๆ มาเป็นตัวค้ำประกันมูลค่าของเงินคริปโต ราคาของเงินคริปโตจะขึ้นอยู่กับความอยากซื้ออยากขายของผู้คนในตลาดเท่านั้น ซี่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้โอกาสที่จะได้ผลตอบแทนหรือทำกำไรสูงๆ จากการซื้อขายเงินคริปโต มีค่ามากตามไปด้วย ต่างจากผลตอบแทนที่ได้จากการซื้อหลักทรัพย์ในตลาดปกติที่มีการควบคุมที่ดี ซึ่งโอกาสที่จะทำกำไรได้มากๆ จากการซื้อขายนั้น มีค่าไม่สูงนัก
ส่วนในกรณีการลงทุนซื้อประกันนั้น ประกันภัยส่วนใหญ่มักจะเป็นลักษณะ ซื้อแล้วซื้อเลย ไม่มีการจ่ายคืนถ้าหากไม่เกิดเหตุการณ์ที่ตรงกับเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในสัญญาที่เรียกกันตามภาษากฏหมายว่า กรมธรรม์ ดังนั้นโอกาสที่ผู้ลงทุนจะสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมด จึงมีค่าได้สูงสุดถึง 100 เปอร์เซ็นต์ ส่วนผลตอบแทนนั้น ขึ้นอยู่กับโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์ร้ายต่างๆ ที่ผู้ลงทุนได้ทำประกันไว้ เช่น โอกาสที่ผู้ขับขี่รถยนต์ หรือรถจักรยานยนต์ จะประสบอุบัติเหตุบนท้องถนนภายในระยะเวลา 1 ปี มีค่ามากน้อยเท่าไร ซึ่งทำให้มีโอกาสจะได้ผลตอบแทนมีค่าเริ่มต้นตั้งแต่ 0 เป็นต้น (ยกเว้นว่าจะเป็นประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ หรือประกันแบบอื่นที่มีลักษณะคล้ายกัน ซึ่งจะมีการจ่ายคืนให้ในภายหลังเมื่อครบกำหนดเวลาตามสัญญา กรณีนี้จะให้ผลตอบแทนคล้ายกับการซื้อสลากออมสิน คือได้รับเงินลงทุนคืนทั้งหมดเมื่อสัญญาหมดอายุ จะแตกต่างกันก็ตรงวีธีออกรางวัล สลากออมสินออกรางวัลโดยการสุ่มจับสลาก ซึ่งผู้ลงทุนไม่ต้องเสียอะไร แต่ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์จะออกรางวัลจากการที่ผู้ลงต้องทุนสูญเสียก่อน ซึ่งขึ้นอยู่กับโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์สูญเสียนั้นในช่วงระยะสัญญา) อย่างไรก็ตามผู้ลงทุนทำประกัน คงไม่ค่อยอยากจะได้รับรางวัลจากการทำระกันเท่าไร
จึงเป็นเรื่องยากที่จะบอกว่า การลงทุนแบบไหนคุ้มกว่ากัน ดังนั้นการตัดสินใจเลือกจึงขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ของผู้ลงทุนด้วยว่ามีเงินทุนมากน้อยเท่าไร มีเป้าประสงคฺอย่างไรกับการใช้เงินที่มีอยู่
ข้อมูลต่อไปนี้จะเป็นข้อมูลกว้าง เกี่ยวกับการซื้อขายเงินคริปโต กับข้อมูลเบี้องต้นที่เกี่ยวข้องกับงานประกันภัยและอุบัติเหตุ
การลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซี เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง
เพราะอาจจะทำให้เราสูญเสียเงินต้นทั้งหมดที่เราลงทุนไป แต่ก็อาจจะได้ผลตอบแทนที่ดีกลับมาด้วยเช่นกัน โดยสามารถลงทุนได้ในจำนวนเงินที่ไม่มากนัก มีใช้เงินตั้งแต่หลักร้อยบาทขึ้นไป ก็สามารถลงทุนได้ แต่หากใครมีเงินมากหน่อยอาจจะลงทุนเป็นหลักพันไปจนถึงหลักล้านบาทก็ได้ ซึ่งสามารถลงทุนได้ตามจำนวนเงินที่เรามี และการยอมรับความเสี่ยงในการลงทุนของเรา “แต่อย่าลืมว่าการลงทุนมีความเสี่ยง” หากเราไม่ศึกษาความเสี่ยงจากการลงทุนให้ดี แล้วความเสี่ยงที่ว่านี้มีอะไรบ้างขอยกตัวอย่างดังนี้
1.1 ความเสี่ยงทางด้านราคา หากเราลงทุนซื้อ เหรียญ Bitcoin (BTC)
ยกตัวอย่าง เช่น เราลงทุนซื้อ Bitcoin 5,000 บาท ราคา ณ ปัจจุบัน 1,560,000 บาท ต่อ 1 เหรียญ (อ้างอิงราคาวันที่ 5 เมษายน 2565) เราจะได้รับเหรียญ Bitcoin เป็นจำนวน 0.00319711 BTC หากราคา Bitcoin เพิ่มขึ้นก็จะทำให้เราได้กำไร แต่ถ้าหากราคา Bitcoin ลดลงมาเหลือ 500,000 บาท ต่อ 1 เหรียญ จะทำให้เงินต้นของเราลดลงเหลือ 1,594 บาท เท่านั้นเอง
1.2 ความเสี่ยงด้านความมั่นคงและน่าเชื่อถือ
เนื่องจากคริปโตเคอร์เรนซี สกุลเงินดิจิทัล มีอยู่หลายสกุลเงิน เช่น BTC , ETH , ADA , DOGE และอีกมากมายที่สามารถสร้างขึ้นมาได้โดยง่าย
เมื่อไม่นานมานี้จึงมีข่าว ผู้ลงทุนในเหรียญ Squid Game crypto สูญเสียเงินลงทุนเป็นจำนวนมาก จากเดิมที่ 1เหรียญมีราคาสูงถึง 2,861 ดอลล่าร์ หรือประมาณ 95,986 บาท ต่อ 1 เหรียญ ตามข้อมูลของ CoinMarketCap แต่ราคาได้ตกลงมาเหลือ 0 ดอลล่าร์ ภายในระยะเวลาอันสั้น โดยการหลอกลวงลักษณะนี้ เรียกว่า “Rug Pull” ที่ผู้สร้างเหรียญถอนเงินออกจากเหรียญทั้งหมดเพื่อนำไปแลกเป็นเงินจริง ทำให้ราคาของเหรียญตกลงมา หรือหมดมูลค่านั้นเอง
การลงทุนในการซื้อประกัน เป็นการลงทุนเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายในอนาคต
การลงทุนในการซื้อประกันใช้เงินจำนวนไม่มาก เริ่มต้นแค่หลักร้อยถึงหลักพันบาทต่อเดือน อย่างเช่น ประกันภัยรถยนต์ ประกันรถมอเตอร์ไซค์ ประกันสุขภาพ ประกันมะเร็ง และประกันชดเชยรายได้ ฯลฯ ซึ่งจะช่วยชดเชยค่าเสียหายหรือค่าใชจ่ายให้เราเมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้น เช่น
2.1การเกิดอุบัติเหตุ จากสถิติการเกิดอุบัติเหตุทางถนน
จากศูนย์ข้อมูลอุบัติเหตุ ThaiRSC ในช่วงเทศกาล จะมีการเกิดอุบัติเหตุทางถนนเพิ่มมากขึ้น นำมาซึ่งการบาดเจ็บและสูญเสียทั้งร่างกายและทรัพย์สิน โดยข้อมูลปี 2564 มีผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุ 883,311 ราย เสียชีวิต 13,657 ราย ข้อมูลปี 2565 ผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุ 251,896 ราย เสียชีวิต 4,373 ราย จะเห็นได้ว่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
2.2 โรคมะเร็ง
จากสถิติจำนวนผู้ป่วยมะเร็ง รายใหม่ทั่วโลกขององค์กรระหว่างประเทศเพื่อการวิจัยโรคมะเร็ง (The International Agency For Research on cancer : IARC) องค์การอนามัยโลก คาดว่าผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่ทั่วโลกจะมีประมาณ 19.3 ล้านคน และมีผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งเกือบ 10 ล้านคน หรืออาจกล่าวได้ว่าการตายประมาณ 1 ใน 6 ของคนทั่วโลก มีสาเหตุมาจากโรคมะเร็ง
แนะนำผลิตภัณฑ์
จากข้อมูลข้างต้น น้องกันเอง จึงได้คัดผลิตภัณฑ์จาก โปรประกันซึ่งคัดมาแล้วว่า “คุ้ม” มาให้ทุกท่าน มีประกันครอบคลุมตามรายละเอียดด้านล่างโดยสามารถคลิกดูรายละเอียด และกดสอบถามเพิ่มเติมตามแผนที่สนใจได้เลยค่ะ
ประกันภัยรถยนต์ ชั้น 1 , ชั้น 2+ , ชั้น 3+ / แบ่งชำระได้สูงสุด 6 เดือน คลิก >>> ประกันรถยนต์
- ตัวอย่าง ตารางเปรียบเทียบประกันภัยรถยนต์
- ประกันรถมอเตอร์ไซค์ คลิก >>> ประกันรถมอเตอร์ไซค์
ตัวอย่าง ความคุ้มครองประกันรถมอเตอร์ไซค์ ราคาเบี้ยประกันเริ่มต้น 1,400 บาท/ปี
- ประกันสุขภาพ คลิก >>> ประกันสุขภาพ
ตัวอย่าง ความคุ้มครองประกันสุขภาพ * อายุ 25 ปี จ่ายเริ่มต้นเดือนละ 704 บาท ได้ความคุ้มครอง 500,000 บาท ต่อปี
- ประกันมะเร็ง คลิก >>> ประกันมะเร็ง
ตัวอย่าง ความคุ้มครองประกันมะเร็ง * อายุ 34 ปี จ่ายเริ่มต้นเดือนละ 80 บาท ได้ความคุ้มครอง 300,000 บาท ต่อปี
- ประกันชดเชยรายได้ คลิก >>> ประกันชดเชยรายได้
ตัวอย่าง ความคุ้มครองประกันชดเชยรายได้
- ประกันอุบัติเหตุ คลิก >>> ประกันอุบัติเหตุ
หากเรามีประกันไว้แล้ว เมื่อเราเจ็บป่วยประกันก็จะคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลหรือจ่ายเงินก้อนให้ตามวงเงินที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ ตามที่เราได้ลงทุนไว้ ก็จะทำให้ไม่กระทบกับความมั่งคั่งทางการเงินของเรานั้นเองค่ะ
เห็นไหมคะว่าจากตัวอย่างการลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซีี และการลงทุนในการซื้อประกัน ใช้เงินเริ่มต้นไม่มากเหมือนกัน แต่ให้ผลตอบแทนหรือความคุ้มครองที่แตกต่างกันมาก น้องกันเองจึงอยากให้ทุกคนมีประกัน ไว้เพื่อเป็นหลักประกันความมั่งคั่ง เปรียบเสมือนมีผู้รักษาประตูไว้คอยดูแลชีวิตให้กับทุกๆ ท่านค่ะ
แหล่งที่มาอ้างอิง
1. https://workpointtoday.com/thai-is-the-most-ownership-of-cryptocurrency/
2. https://gizmodo.com/squid-game-cryptocurrency-scammers-make-off-with-2-1-m-1847972824
4.https://www.hfocus.org/content/2021/07/22081